อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป
สวัสดีทุกคนนะคะ วันนี้เราจะมาพูดถึงช่วงชีวิตที่ดีที่สุดในวัยรุ่น นั่นก็คือ"ช่วงชีวิตในมัธยม" โดยชีวิตมัธยมของเราเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งมิตรภาพ ความทุ่มเท และบทเรียนที่ไม่มีในหนังสือ ตั้งแต่วันแรกนะคะที่เราได้เจอกับเพื่อนสนิทหกคน พวกเราทุกคนนิสัยและบุคลิกแตกต่างกันมาก แต่มันกลับเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด จนพวกเรานะคะได้ตั้งชื่อกลุ่มขึ้นมาว่า 7ประหลาดแห่งสื่อไหลเค่อ ซึ่งเราก็ได้ผ่านวันธรรมดาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บางทีก็มีน้ำตา แต่ในทุกช่วงเวลามันกลายเป็นความทรงจำที่อบอุ่นจนมาถึงตอนนี้ มีหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เราภูมิใจที่สุดในตอนม.3 ด้วย ก็คือการได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันศิลปหัตถกรรม ตอนนั้นเราตั้งใจซ้อมอย่างหนักจนทำให้คว้าเหรียญทองมาได้ ซึ่งความสำเร็จครั้งนั้นมันไม่ได้มีค่าแค่รางวัล แต่มันสอนให้เราได้รู้จักความพยายาม การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และความสุขจากการได้ลงมือทำในสิ่งที่เรารัก
ในตอนม.4 เราได้มีโอกาสเข้าวงประสานเสียง ได้เจอเพื่อนใหม่ๆและรุ่นน้องที่น่ารักหลายคน พวกเราซ้อมร้องเพลงกันจนเย็นตลอดทั้งอาทิตย์ เพื่อเตรียมแสดงในวันสำคัญ วันที่เราไม่มีวันลืม คือวันที่ได้ร้องเพลงอำลาพี่ๆ ม.6 ในวันปัจฉิมนิเทศ บรรยากาศตอนนั้นมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตาปะปนกันไป มันทำให้เราซึ้งใจและรู้ว่าการจากลาก็เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต
นอกจากกิจกรรมเหล่านั้น เรายังตัดสินใจลองสมัครคัดเลือกดรัมเมเยอร์ ตอนแรกเราไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำได้ไหม แต่ด้วยแรงสนับสนุนจากเพื่อนๆ และกำลังใจจากทางครอบครัว เราก็เลยฝึกซ้อมอย่างหนัก ทั้งท่าทาง การเดิน และรอยยิ้ม มาถึงวันคัดตอนนั้นตื่นเต้นมาก เรากลัวรายชื่อไม่เข้ารอบสองสุดๆ แต่ผลออกมาว่ารายชื่อเราได้ติดเข้าไปถึงรอบสองนั่นคือรอบสุดท้ายของการคัดเลือก จนมาถึงการประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือก เราตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด และสุดท้ายเราก็ได้เป็นดรัมจริงๆ ตลอดช่วงเวลาการซ้อมพวกเราตั้งใจคิดท่า ฝึกความพร้อมเพรียงจนกว่าจะเป๊ะที่สุด จนวันที่กีฬาสีมาถึง เราถือไม้คฑาด้วยความภูมิใจ เสียงเชียร์รอบสนามทำให้เราตื้นตันมากๆ การได้ยืนอยู่ตรงนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องโชว์ความสวยงาม แต่มันคือสัญลักษณ์ของความพยายามและความสามัคคีในทีมพวกเรา ในท้ายที่สุดทีมของพวกเราก็ได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เราไม่มีวันลืม
จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราได้กลับไปแข่งขันศิลปหัตถกรรมอีกครั้ง ตอนนั้นระยะเวลาที่ซ้อมมีน้อยมากๆ แต่ผลสรุปออกมาว่าเราก็ได้เหรียญทองอีกหนึ่งเหรียญมาครอบครองอีกครั้ง ช่วงเวลานั้นมันจึงย้ำให้เราเชื่อว่า ถ้าเรามีความมุ่งมั่นจริงๆ ไม่มีสิ่งไหนที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันจะเต็มไปด้วยความสุข บางครั้งเราก็รู้สึกเหนื่อย ท้อ และรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ บางปัญหาก็ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ ได้แค่เก็บเอาไว้เงียบๆ แต่สุดท้ายเราก็ค่อยๆเข้าใจว่า ความเศร้าและความล้มเหลวเป็นสิ่งที่สอนเราให้รู้จักเห็นคุณค่าของวันที่หัวเราะและยิ้มได้เต็มหัวใจ ทุกวันนี้พอเรามองย้อนกลับไป เรายังคงคิดถึงวันเหล่านั้นอยู่เสมอ 🎓🎓🎓
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น